สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงข่าวเปิดนโยบายทิศทางการบริหาร “สวทช. ยุค 6.0” โดยตั้งเป้าขับเคลื่อน สวทช. เป็น “ขุมพลังหลักด้านการวิจัย” ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พร้อมผนึกหน่วยงานพันธมิตรพัฒนา “ระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม” ให้เข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยสู่การใช้งานจริง นำพาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน และยังเร่งปั้นโมเดล NSTDA Core Business ผลักดันให้งานวิจัยเกิดเป็นรูปธรรม พร้อมผลิตเป็นนวัตกรรมส่งออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ถึงแม้โลกจะพัฒนามาในยุคดิจิทัล แต่ปัญหาของงานวิจัยในประเทศไทยจำนวนมากยังไม่สามารถผลักดันไปสู่การใช้จริงในภาคส่วนต่าง ๆ ได้ และประเทศไทยยังขาดนักวิจัยอยู่มาก นอกจากนี้ สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หมายความว่า ไทยกำลังจะขาดแรงงานเพราะแรงงานที่มีอยู่ค่อย ๆ ทยอยเกษียณ ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยแรงงานที่มีแนวโน้มความต้องการสูงขึ้นมากในระยะยาว คือ “แรงงานในภาคบริการ” และแรงงานประเภท “แรงงานทักษะสูง” ในอุตสาหกรรมไฮเทคต่าง ๆ ที่ต้องมีนักวิจัยเป็นผู้ช่วยดำเนินการ ซึ่งมันสวนทางกับโลกที่มีความพร้อมเรื่องเทคโนโลยี ต้องการคนรุ่นใหม่ผสานงานกับคนรุ่นเก่าเพื่อขับเคลื่อนเมืองยุคดิจิทัล ดังนั้น สวทช. ยุค 6.0 จึงกำหนดนโยบายที่เรียกว่า “NSTDA Core Business” ขึ้นมา เพื่อใช้ผลักดันให้งานวิจัยให้มากขึ้น สามารถต่อยอดสร้างประโยชน์ได้ และยังช่วยประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนที่มีทุนหรือมีกำลัง มีแนวคิดใหม่ ๆ เข้ามาทำงานร่วมกันในด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
ในเฟสแรกได้คัดเลือกงานวิจัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมี และยังคงจะพัฒนาแพลตฟอร์มที่ทำสำเร็จแล้วต่อไป ได้แก่
Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง
Digital Healthcare Platform แพลตฟอร์มแก้ปัญหาการบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ
FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (Functional ingredient) ในรูปแบบ One stop service
Thailand i4.0 Platform แพลตฟอร์มให้บริการ Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบครบวงจร
NSTDA Core Business มีเป้าหมายสำคัญ คือ การขับเคลื่อนองค์กร และต้องให้ภาคส่วนต่าง ๆ นำความรู้ เครื่องมือ เพื่อนำวิจัยแก้ปัญหาด้านภาคอุตสาหกรรมที่เป็นโจทย์สำคัญเร่งด่วนของประเทศ และที่สำคัญคือ ประชาชนและชุมชนต้องเข้าถึงงานวิจัยที่ใช้ได้จริง
“สำหรับโครงการ Traffy Fondue ถือเป็นงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้างที่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง ประชาชนสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มนี้ได้ผ่านการเข้ามาร้องทุกข์ โดยที่ผ่านมาได้ช่วยบริหารจัดการเมืองไปหลากหลายด้าน ซึ่งก็มีแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น FoodSERP ที่คอยให้บริการแก่ผู้ประกอบการอาหาร และเวชภัณฑ์ ซึ่งเรายังต้องการงานวิจัยอีกมากที่จะมาช่วยพัฒนาเมือง” ผอ. สวทช. กล่าว
สำหรับอุตสาหกรรมไทยที่ต้องการวิจัยเร่งด่วนเพื่อนำไปแก้ปัญหาภายในประเทศ แบ่งออกเป็นแต่ละด้านดังนี้
เกษตรและอาหาร
สุขภาพและการแพทย์
พลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ
เศรษฐกิจสร้างสรรค์
ทั้งนี้ การจัดการในแต่ละด้านจะเน้นดำเนินงานการพัฒนาภายใต้ โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว และแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
“สำหรับนโยบาล NSTDA Core Business ระยะแรกจะมุ่งเน้นภาคเอกชนที่มีความพร้อม และเน้นหน่วยงานในพื้นที่ก่อน เช่น กรุงเทพมหานคร ที่มีการปูความเป็นเมืองนวัตกรรมอยู่ก่อนแล้วให้มีสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งทีมสวทช.อยากขอความร่วมมือไปยังภาคเอกชนที่มีทุน หรือต้องการวิจัย สามารถเข้ามาปรึกษา พูดคุย วิจัยร่วมกับนักวิจัยของสวทช.ได้ เพื่อสร้างนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดได้มากยิ่งขึ้น”
Discussion about this post