นายนพรุจ ธนภัทรชัยทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพย์สุรัตน์ จำกัด ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Durrianar By SQ (ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมสกินแคร์ทุเรียน “ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว” โดยนำ “ทุเรียน” ราชาแห่งผลไม้ไทย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศไทย มาศึกษา ค้นคว้า วิจัยเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดและเพิ่มมูลค่าให้กับทุเรียน ซึ่งเป็น Local Fruit เพื่อสร้างเป็น International Product เพิ่มมูลค่าให้กับราชาแห่งผลไม้ของไทยให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
“ด้วยภูมิลำเนาของตน เป็นคนจังหวัดระยอง จึงเห็นโอกาสในการนำทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้ชื่อดังของท้องถิ่นมาพัฒนาต่อยอด ทุเรียนเป็นผลไม้ขึ้นชื่อประจำจังหวัด ผมจึงเริ่มมองการต่อยอด ด้วยการศึกษาผลไม้ท้องถิ่นตัวนี้อย่างถ่องแท้ เพื่อนำประโยชน์ที่มากกว่าเพียงนำไปรับประทานเป็นผลไม้ อาหาร ขนม หรือผลไม้แปรรูป เท่านั้น” นายนพรุจ กล่าว
ทั้งนี้ จากผลการศึกษาเบื้องต้นได้ค้นพบประโยชน์ที่สำคัญจากทุเรียนว่า สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องสำอางได้ เนื่องจากทุเรียนมีสารกลุ่ม Bioactives สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสื่อมถอยที่เกิดจากวัย จึงนำมาสู่แนวคิดในการพัฒนาสารสกัดที่มีอยู่ในทุเรียนมาเป็นส่วนประกอบหลักในเครื่องสำอาง เพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิว
“จุดเริ่มต้นตั้งแต่ปลายปี 2561 ตนมีแนวคิดที่อยากได้สารสกัดจากทุเรียนเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องสำอางประเภทสกินแคร์ จึงได้เชิญ ผศ.ดร.จิราภรณ์ ทองตัน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เป็นที่ปรึกษาในการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดทุเรียนเบื้องต้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นขอจดสิทธิบัตร รวมถึงอยู่ระหว่างการขอทุนวิจัย เพื่อขยายผลการศึกษาเชิงลึกและควบคุมคุณภาพของสารสกัดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค” นายนพรุจ กล่าว
จากผลการศึกษาดังกล่าว บริษัทได้นำมาต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเปิดตัวแผ่นมาส์กบำรุงผิวหน้า ภายใต้แบรนด์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว ออกสู่ตลาดเมื่อช่วงต้นปี 2562 จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัท ก่อนไปเปิดบูธแนะนำสินค้าที่ประเทศจีน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวจีน จากนั้นจึงมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ออกมาเสริมทัพในเวลาต่อมา
สารสกัดจากทุเรียนของ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว ใช้เทคโนโลยีและวิทยาการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางสกัดสารจาก King of Fruit เพื่อพัฒนาเป็น Queen of Beauty โดยสารสกัดจากยอดอ่อนของทุเรียนที่ผ่านกรรมวิธีสกัดเย็น เพื่อรักษาคุณสมบัติและประสิทธิภาพของสาร Bioactives อย่างสูงสุด ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นในเรื่องกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะไม่มีกลิ่นทุเรียนแต่เป็นกลิ่นของดอกทุเรียน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยเพื่อพัฒนาต่อเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น
อีกจุดเด่นของแบรนด์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว คือ ยอดอ่อนทุเรียนที่ใช้นำมาจากสวนที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นสวนเกษตรปลอดภัย โดยคนรุ่นใหม่ที่เป็น Young Smart Farmer ใช้เครื่องจักร และเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน รวมถึงลดการใช้แรงงาน และสารเคมี ส่งผลให้ได้ต้นทุเรียนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและปลอดภัย เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการในผลิตสกินแคร์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว
นายนพรุจ กล่าวว่า ปัจจุบัน ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว มีสินค้า 7 รายการ ประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ Age Care Cream ป้องกันการเกิดริ้วรอย ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ หย่อนคล้อย ขาดความชุ่มชื้น Whitening Cream เพื่อผิวขาวกระจ่างใส แลดูเป็นธรรมชาติ ลดความหมองคล้ำ และ Anti acne ป้องกันการเกิดสิว รอยแดงหรือริ้วรอยที่เกิดจากสิว และยับยั้งการอักเสบของสิว โดยทั้ง 3 กลุ่ม เนื้อครีมผลิตเป็น “เจลลี่มาสก์” สูตรกลางคืน เพื่อเน้นความบางเบาของเนื้อครีมเมื่อใช้ในเวลากลางคืน สามารถทาผิวหน้าได้ทุกวันโดยไม่ต้องล้างออก
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์หลักที่ได้รับความนิยม คือ แผ่นมาส์กบำรุงผิวหน้า “โกลเด้น ดูเรียน เฟเชียล มาส์ก” และคลีนซิ่งเช็ดหน้า “เอ็กซ์ตร้า เจนเทิล เอชทูโอ คลีนซิ่ง” สูตรน้ำ สามารถเช็คทำความสะอาด 3 in 1 ทั้งตา ปาก และหน้าที่มีเครื่องสำอางได้อย่างหมดจด ไม่มีแอลกอฮอล์ สามารถใช้ได้ในทุกสภาพผิว โดยหลังจากนี้บริษัทจะเดินหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาสร้างความหลากหลายอย่างต่อเนื่อง
“ผลิตภัณฑ์ที่ผมผลิตออกมา มองกลุ่มเป้าหมายระยะยาว คือ ทุกช่วงวัยสามารถใช้ได้ เริ่มจากวัยรุ่นที่มีปัญหาในเรื่องของสิว สิวอักเสบ Anti acne จะเป็นตัวช่วยได้ดี รวมถึง Whitening Cream ส่วนกลุ่มวัยตั้งแต่ 30 ขึ้นไป ก็สามารถใช้ Age Care Cream ควบคู่กันไป มองว่าโอกาสการเติบโตในตลาดเครื่องสำอางกว้างมาก อีกทั้งมั่นใจว่า จากเรื่องราวซึ่งเป็นหัวใจหลักของ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว จะเป็นตัวชูโรงที่จะทำให้กลุ่มผู้ใช้ผลิตภัณฑ์มีความสนใจและหันมารู้จักกับเครื่องสำอางจากทุเรียน ที่ผลิตโดยคนไทย รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ที่จัดจำหน่ายในต่างประเทศ” นายนพรุจ กล่าว
สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายในไทย ปัจจุบันวางจำหน่ายผ่านช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดังต่าง ๆ ได้แก่ ช้อปปี้ เจดีเซ็นทรัล และเตรียมวางจำหน่ายในลาซาด้าเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ ยังวางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัททางเฟสบุ๊ก https://www.facebook.com/DurrianarTH/ รวมถึงวางจำหน่ายในคิง เพาเวอร์ ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งยังเป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ
“ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว เริ่มต้นจากการเน้นบุกตลาดต่างประเทศ โดยวางขายในคิง เพาเวอร์ และเข้าไปเปิดบูธในจีน แต่ที่ผ่านมาเรามองเห็นศักยภาพในตลาดไทย โดยเฉพาะช่องทางอีคอมเมิรซ์ที่เติบโตอย่างมาก ในปีนี้เราจึงเริ่มวางขายสินค้าผ่านช้อปปิ้งออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งจากนี้จะมีการปรับแพ็กเกจจิ้งของผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยโดยเฉพาะอีกด้วย” นายนพรุจ กล่าว
สำหรับแผนการบุกตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทได้จดเทรดมาร์กทั้งในไทยและต่างประเทศมากกว่า 10 ประเทศ อาทิ จีน และประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ลาว เป็นต้น โดยมีการนำสินค้าเข้าไปบุกประเทศจีนเป็นที่เรียบร้อยผ่าน “ทีมอลล์” (www.tmall.com) เว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของจีนที่อยู่ในเครืออาลีบาบา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการแนะนำแบรนด์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว สู่ประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีโอกาสอีกมหาศาล โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้ที่คนจีนชื่นชอบเป็นอย่างมาก
สำหรับแผนในสิ้นปีนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถเข้าไปบุกตลาดเวียดนามผ่านคู่ค้าในประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา ส่วนแผนในอนาคตตั้งเป้าขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน ด้วยรูปแบบเดียวกันคือ การหาคู่ค้าในแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีความเข้าใจในสภาพตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศนั้น ๆ มากกว่า
“ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ส่วนใหญ่ชื่อชอบรับประทานทุเรียน เราจึงมองเห็นโอกาสในการนำสกินแคร์ทุเรียนเข้าไปรุกตลาดเหล่านี้ เพราะมีความคุ้นเคยกับทุเรียนอยู่แล้ว เชื่อว่าจะช่วยให้เปิดรับผลิตภัณฑ์ได้ไม่ยาก โดยเป้าหมายของเราในอนาคตคือ ต้องการสร้างแบรนด์ ดูร์เรียนาร์ บาย เอสคิว ก้าวสู่การเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล แบรนด์ สร้างชื่อให้กับประเทศไทยในวงกว้าง” นายนพรุจ กล่าวทิ้งท้าย
Discussion about this post