คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ผนึกพลังความร่วมมือกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด มหาชน (เอไอเอส) กับต้นแบบนวัตกรรม UVC Moving CoBot ระบบหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบเคลื่อนที่ มีมือจับฉายรังสี UV-C แบบเคลื่อนที่ (Moving UV-C Radiation Source) สามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ถึง 99.99 % โดยสามารถควบคุมระยะห่าง กำหนดความเร็วได้อย่างแม่นยำเพื่อให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึง ใช้ 5G ควบคุมระยะไกลและเชื่อมต่อประมวลผลผ่าน IoT คาดใช้เวลา 6 เดือน พัฒนาจากต้นแบบสู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ในอนาคต มุ่งสร้างพื้นที่ปลอดไวรัสให้ธุรกิจเอสเอ็มอีและเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้ พร้อมรับมือการแพร่ COVID-19 ระลอกใหม่ และตอบรับการเปิดประเทศ โดยนวัตกรรมนี้ได้รับการจดสิทธิบัตรแล้ว
รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในยุโรปได้เข้าสู่การระบาดระลอกที่ 3 แล้ว มีอัตราการติดเชื้อสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. หลายประเทศได้ประกาศขยายล็อคดาวน์อีกครั้งหนึ่ง สำหรับประเทศไทยก็มีการพบคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อเป็นระยะ แม้ว่าวัคซีนโควิดจะเริ่มนำเข้ามาฉีดให้ประชาชนแล้ว เรายังจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับโควิดต่อไป จึงเป็นที่มาของการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรม UVC Moving CoBot ระบบหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบเคลื่อนที่ โดยทีมวิจัยคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นที่น่ายินดีที่สององค์กรคือ คณะวิศวะมหิดล และ เอไอเอส ได้ผนึกพลังศักยภาพของผู้นำภาควิชาการและผู้นำเทคโนโลยีสื่อสารของไทยในการพัฒนาจากต้นแบบนวัตกรรมไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพในอนาคต เพื่อประโยชน์ต่อคนไทยและเศรษฐกิจไทยโดยรวม มุ่งตอบโจทย์ทำอย่างไรจึงจะสร้างพื้นที่ปลอดไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง ฆ่าเชื้อไวรัสและเชื้อโรคได้อย่างมั่นใจและทั่วถึง ตลอดจนทำงานอัตโนมัติแทนมนุษย์ได้ 24 ชม.เพื่อให้คนไทยรับมือกับ Next Normal และโควิด-19 ระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
โดยรัฐบาลมีโรดแมปเปิดประเทศไทย จะเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 2 (เม.ย. – มิ.ย. 64) เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ได้รับวัคซีนแล้ว เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก เช่น ภูเก็ต กระบี่ พังงา เกาะสมุย พัทยา และเชียงใหม่ โดยต้องกักตัวในโรงแรมเป็นเวลา 7 วัน , ไตรมาส 3 (ก.ค. – ก.ย. 64) นำร่องที่จ.ภูเก็ต จะไม่มีการกักตัว นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบโดส สามารถบินตรงเข้าสนามบินภูเก็ต และตรวจเชื้อเมื่อเดินทางมาถึง โดยไม่ต้องกักตัวและต้องอยู่ใน จ.ภูเก็ตอย่างน้อย 7 วัน ก่อนออกเดินทางไปที่อื่น ๆ และใช้มาตรการป้องกันควบคู่กับ Vaccine Certificate และแอปพลิเคชั่นติดตามตัว , ส่วนไตรมาส 4 (ต.ค. – ธ.ค. 64) เพิ่มพื้นที่นำร่อง กระบี่ พังงา เกาะสมุย พัทยา และเชียงใหม่ , คาดว่าเดือนมกราคม 2565 จะสามารถเปิดประเทศไทยได้ทั้งประเทศ
อราคิน รักษ์จิตตาโภค หัวหน้าฝ่ายขับเคลื่อนนวัตกรรม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด มหาชน (เอไอเอส) กล่าวว่า “เรามีความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและขีดความสามารถของทีมงาน ร่วมมายกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา กับ “โครงการ AIS ROBOT FOR CARE” ที่ได้นำศักยภาพของเครือข่าย 5G, AI, Cloud และ Robotic มาประยุกต์ใช้เป็นโครงข่ายดิจิทัลพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาหุ่นยนต์ 5G เพื่อช่วยปฏิบัติงานทางการแพทย์ วันนี้ เอไอเอส จึงภูมิใจอย่างยิ่งที่ทีม AIS Robotic Lab ได้ร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล วิจัยพัฒนา UVC Moving CoBot ระบบหุ่นยนต์แขนกลอัจฉริยะฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบเคลื่อนที่ ที่ถือเป็นต้นแบบหุ่นยนต์อัจฉริยะ ที่จะพัฒนาเชิงพาณิชย์ในขั้นต่อไป
นับเป็นนวัตกรรมต้นแบบที่จะพัฒนาไปเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ในอนาคต เพื่อสังคมและเศรษฐกิจไทย ช่วยให้ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีไทย และคนไทยสามารถใช้นวัตกรรมในราคาประหยัด ลดการนำเข้า สร้างความปลอดภัยในการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวัน นำมาซึ่งความมั่นคงทางสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศนอกจากนี้ ยังถือเป็นเป็นการบ่มเพาะบุคลากรด้าน Digital และ Robotic ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย”
ดร.เอกชัย วารินศิริรักษ์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ไวรัสโรค COVID-19 และเชื้อโรคอีกหลายชนิด นอกจากระบาดโดยการแพร่กระจายในละอองฝอยอากาศแล้ว ยังอาจกระจายเชื้อไวรัสและเชื้อต่างๆสู่พื้นผิวของวัสดุและของใช้ต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาเก็ต โรงภาพยนตร์ สำนักงาน เป็นต้น ในทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เป็นที่ยอมรับว่า การใช้รังสี UV-C ที่มีความยาวคลื่น 200-280 นาโนเมตร สามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่อยู่บนพื้นผิวต่างๆได้ ปัจจัยที่จะทำให้การฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีได้เต็มประสิทธิภาพ ขึ้นอยู่กับการออกแบบทางวิศวกรรม ได้แก่ 1.ค่าความเข้มของหลอด (Power Density) 2.ระยะห่างของพื้นผิวที่ต้องการฉายเพื่อฆ่าเชื้อ และ 3.ระยะเวลาของการฉายรังสี (Time) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฆ่าเชื้อนั้นจะต้องนำแสงรังสีเข้าใกล้กับตัวพื้นผิวที่ต้องการฆ่าเชื้อให้มากที่สุด และต้องทำให้ครอบคลุมทั่วถึงพื้นผิวทั้งหมดด้วย (ระยะห่าง ขึ้นอยู่กับกำลังวัตต์ ตามหลักวิศวกรรม)
UVC Moving CoBot ระบบหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบเคลื่อนที่ มีส่วนประกอบหลัก 4 อย่าง ซึ่งทำงานร่วมกัน คือ 1. แหล่งกำเนิดรังสียูวีซี ขนาดกำลังอย่างน้อย 16 วัตต์ ขนาดหลอดยาว 25 – 35 เซนติเมตร ติดตั้งบนปลายแขนของหุ่นยนต์แขนกล 2. หุ่นยนต์แขนกลอัจฉริยะ ซึ่งแขนทั้งสองข้างของหุ่นยนต์ติดตั้งแหล่งกำเนิดรังสียูวีซี และฐานของหุ่นยนต์ ติดตั้งเข้ากับ AGV รถนำทางอัตโนมัติ สามารถครอบคลุมการฉายรังสีในระยะ 65 – 75 ตารางเซนติเมตร เคลื่อนไหวได้ความเร็วต่ำสุด 2 เซนติเมตร/5 นาที และความเร็วสูงสุด 110 เซนติเมตร/นาที ยกโหลดน้ำหนักวัตถุได้ 5 กิโลกรัม 3. รถนำทางอัตโนมัติ (Automated Guide Vehicle : AGV) สามารถเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่มีแถบแม่เหล็กกำหนดไว้ ตัวรถมีความเร็วในการเดินทางไม่ต่ำกว่า 8 เมตร/นาที สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 500 กิโลกรัม ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เป็นระบบขับเคลื่อน 4. ระบบเครื่องจักรมองเห็น (Machine Vision) ทำหน้าที่ค้นหาสัญลักษณ์เพื่อประเมินผลคุณลักษณะของวัตถุภายในพื้นที่ โดยระบบจะจดจำวัตถุและออกคำสั่งการเคลื่อนที่ตามที่บันทึกไว้หรือรหัสบาร์โค้ด
จุดเด่นและประโยชน์ ของ UVC Moving Cobot คือ ผ่านการทดสอบจากสถาบันวัคซีน ม.มหิดลในประสิทธิภาพสูงถึง 99.99 % แขนกลของหุ่นยนต์สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ จึงสามารถทำความสะอาดโต๊ะ ตู้ เตียง ชั้นวางสินค้า และฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้อย่างทั่วถึง ซึ่งมีความปลอดภัยอย่างมาก และไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ พร้อมกันนี้ยังได้ร่วมกันพัฒนาฟีเจอร์อัจฉริยะ อย่าง เทคโนโลยี Virtual Mapping ที่ช่วยกำหนดแผนที่เส้นทางเดินของหุ่นยนต์ให้เคลื่อนที่เข้าหาวัตถุหรือสถานที่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และยังสามารถบังคับหุ่นยนต์เคลื่อนที่ได้ตามต้องการ ผ่านเครือข่าย 5G ทำให้หุ่นยนต์สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อัตโนมัติ ตลอด 24 ชั่วโมง ลดภาระงานหนัก และลดความเสี่ยงต่ออันตรายจากรังสี UV-C และลดการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Discussion about this post