5G SA (5G Standalone) คือการใช้งานบนเครือข่าย 5G เพียงอย่างเดียว โดยปัจจุบันนี้เครือข่าย 5G ที่ให้บริการกันโดยมากจะเป็นแบบ NSA หรือ Non-Standalone หรือเป็นการใช้งานผ่าน core network ของ 4G กันเกือบทั้งหมด โดยลักษณะเช่นนี้ แม้ว่าสัญญาณรับส่งจะเป็นแบบ 5G แต่โครงสร้างพื้นฐานจะยังใช้งานของ 4G อยู่ ทำให้ยังติดปัญหาด้านความเร็วอยู่ ส่วนเหตุผลที่ต้องมี NSA ก่อน SA ก็เนื่องจากการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดให้รองรับ SA จะต้องลงทุน จึงมีการคิดค้น NSA ขึ้นมาช่วยลดค่าใช้จ่าย และสามารถให้บริการ 5G ได้ทันทีโดยไม่ต้องลง Core Network ใหม่ทั้งหมดนั่นเอง
(โดยในปัจจุบัน AIS เป็นโอเปอเรเตอร์รายเดียวในไทยที่ให้บริการแบบ Dual Mode ทั้ง SA/NSA)
ส่วนสำคัญที่สุดของเครือข่าย 5G แบบ Standalone ก็คือจะทำให้ 1 ใน 3 แกนหลักของ 5G อย่าง uRLLC (Ultra Low Latency) เป็นจริงขึ้นมาได้ โดย SA จะลดความหน่วง (Latency) จาก 4G ลงได้ถึง 60-70% เลยทีเมื่อ Latency ยิ่งน้อย ความหน่วงของเวลาก็จะต่ำตาม เช่น การตอบสนองในเกม อุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆที่มีการควบคุมระยะไกล ที่ควรจะมีการหน่วงเวลาให้น้อยที่สุด ตอบสนองต่อคำสั่งได้เร็วที่สุดก็จะสามารถเกิดขึ้นได้จริง
ความแตกต่างของ LATENCY ในเครือข่ายแต่ละแบบ
– 4G <30ms
– NSA <15ms
– SA <10ms
เมื่อ LATENCY ต่ำก้จะสามารถใช้งานบน 5G ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
– Latency < 5ms เช่น Automated Driving, IoT, Gaming
– Latency < 10ms เช่น Augmented Reality, Medical Application
– Latency < 50ms เช่น Video Analytics
Discussion about this post