สับปะรดเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าส่งออกเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศไทย นอกจากส่วนใหญ่นิยมนำเนื้อสับปะรดมารับประทานแล้ว ยังพบว่าทุกส่วนของสับปะรดยังสามารถนำมาแปรรูปให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้อีกมากมาย รวมทั้งเพื่อสิ่งแวดล้อม
รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีชัย อมรศักดิ์ชัย อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คือนักวิทยาศาสตร์ไทยผู้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มาอย่างยาวนานด้านการสร้างนวัตกรรมโดยใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆ ของสับปะรด แม้กระทั่งในส่วนที่เหลือทิ้งเป็นจำนวนมหาศาลจากภาคเกษตรกรรม ก็สามารถนำมาแปรเปลี่ยนให้เกิดมูลค่าสูงต่อไปได้ในภาคอุตสาหกรรม
ผลงานนวัตกรรมชิ้นล่าสุดของ รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีชัย อมรศักดิ์ชัย เกิดจากการค้นพบว่า ใบสับปะรดสามารถนำมาใช้ช่วยโลกพ้นวิกฤติมลพิษ จากการนำเส้นใยจากใบสับปะรดที่เป็นของเหลือทิ้งทางการเกษตรไปใช้บำบัดน้ำเสียจากโรงงาน โดยใช้กระบวนการตรึงพอลิเมอร์ชนิดหนึ่งลงบนเส้นใยจากใบสับปะรด เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการดักจับโลหะหนักให้กับวัสดุจากธรรมชาติดังกล่าว
จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการกับตัวอย่างน้ำเสียจากโรงงานผลิตแบตเตอรี่ และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์พบว่า เมื่อผ่านการกรองด้วยเส้นใยสับปะรดตรึงสารพอลิเมอร์ชนิดพิเศษดังกล่าวแล้วได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถลดการปนเปื้อนของสารตะกั่ว คอปเปอร์ เหล็ก และนิกเกิล ได้อย่างเห็นได้ชัด และมีแนวโน้มว่าจะสามารถขยายผลสู่เชิงพาณิชย์ต่อไปได้ จึงได้ร่วมกับทีมสตาร์ทอัพ “TEAnity” ซึ่งเป็นนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การสนับสนุนโดย สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อทำความฝันที่จะเห็นการต่อยอดผลงานวิจัยดังกล่าวสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้างได้เป็นจริง
ปัจจุบันนวัตกรรมเส้นใยสับปะรดบำบัดน้ำเสียกำลังอยู่ระหว่างเสริมแกร่งศักยภาพให้พร้อมนำไปใช้ได้จริง ซึ่งจะต้องจัดการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานจำนวนนับพันลิตรขึ้นไป จึงต้องทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ติดปัญหาในเรื่องปริมาณ และเวลา จึงจะสามารถ scale up สู่ระดับอุตสาหกรรมต่อไปได้
รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีชัย อมรศักดิ์ชัย มองว่า ผลวิจัยส่วนใหญ่ที่ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันของการใช้งานจริง เนื่องจากนักวิจัยไม่ได้ตั้งเป้าหมายสำหรับการใช้พัฒนาเพื่อการใช้งานจริงแต่เป็นเพียงการศึกษาเพื่อพัฒนาองค์ความรู้เท่านั้น หรืออาจจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคหลายอย่าง ที่ต้องอาศัยทั้งความพยายาม ความอดทน และต้องมีจังหวะเวลาที่เหมาะสม จึงอาจล้มเลิกความตั้งใจไปก่อน
และอีกหนึ่งอุปสรรคในการนำผลงานวิจัยไปใช้จริง คือ ยังคงมีการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ค่อนข้างน้อย หรือหากมีการสนับสนุนก็ยังมีข้อจำกัดที่มากมาย นอกจากนี้แล้ว ทักษะด้านการจัดการ และการนำเสนอในมุมธุรกิจก็มีความสำคัญ ซึ่งนักวิจัยส่วนใหญ่ขาดทักษะด้านนี้
ผลงานนวัตกรรมดังกล่าวได้รับการเติมเต็มข้อจำกัดที่ว่านี้ด้วยการสนับสนุนเป็นอย่างดีจาก สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล ที่คอยให้คำปรึกษา และประสานการดำเนินการสู่เชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งประโยชน์ที่จะได้รับนอกจากการสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจให้กับประเทศแล้ว ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อไปอีกด้วย
ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th
Discussion about this post