กองทุน ววน.หนุนนักวิจัยม.สวนดุสิตผุดโครงการแปลงสาธิตเกษตรปลอดภัยอัจฉริยะ “หอมขจรฟาร์ม” นำร่องในพื้นที่อำเภอเมืองสุพรรณบุรีเพื่อเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ เน้นพืชผักสวนครัวและไม้ผลโดยเฉพาะเมลอนสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่ใช้น้ำไม่มาก เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรเฉลี่ยครัวเรือนละ 1.8 หมื่นบาท
นายเฉลิมชัย แสงอรุณ ผู้อำนวยการกองอาคารสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี เปิดเผยถึง การสนับสนุน “หอมขจรฟาร์ม” เป็นโครงการแปลงสาธิตเกษตรปลอดภัยอัจฉริยะบนเนื้อที่กว่า 50 ไร่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางการเกษตรแนวใหม่ โดยนำองค์ความรู้จากงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปถ่ายทอดแก่เกษตรกรในชุมชน เพื่อส่งเสริมการทำเกษตรปลอดภัยตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ สร้างอาชีพสร้างรายได้แก่ชุมชน โดยมุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนี้ยังเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของสุพรรณบุรี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถมาพักผ่อนได้อีกด้วย
โครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ รศ. ดร.ชนะศึก นิชานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาการศึกษา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต โดยทำความร่วมมือกับจังหวัดสุพรรณบุรีและหน่วยงานภายใต้กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) รวมทั้งโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ (อพ.สธ.) เพื่อพัฒนาโครงการฯ ให้เป็นแหล่งให้ความรู้ศึกษาดูงานของเกษตรกร ผู้ที่สนใจ และนักเรียน นักศึกษา
ที่มาของชื่อโครงการมาจากดอกขจรซึ่งเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยสวนดุสิต โดยพื้นที่ของหอมขจรฟาร์มแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ “โรงเรือนอัจฉริยะ” ซึ่งเป็นพื้นที่วิจัยทั้งต้นแบบโรงเรือนอัจฉริยะ แบบกึ่งอัจฉริยะ แบบปกติทั่วไป และโรงเรือนขนาดเล็กสำหรับบริการวิชาการแก่ชุมชน ซึ่งสาธิตการปลูกเมลอนสายพันธุ์ญี่ปุ่นเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่อำเภอเมืองสุพรรณบุรีมีรายได้ นอกจากนี้ยังมี “สวนหอมขจร” อันเป็นพื้นที่เปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำการเกษตร โดยเน้นพืชผักสวนครัวและไม้ผลต่าง ๆ เช่น อินทผลัมซึ่งให้ผลผลิตดีในพื้นที่ที่เป็นดินเค็มและน้ำกร่อย
“หอมขจรคอสเมติก” นำผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเกรดพรีเมียม เช่น เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เจลอาบน้ำ ซึ่งใช้วัตถุดิบจากว่านหางจระเข้ปลอดสารเคมี “แปลงอนุรักษ์พันธุกรรมพืช” จำพวกไม้หายาก เป็นศูนย์การเรียนรู้สำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจ นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการทำการเกษตรแบบง่าย ๆ โดยร่วมกับโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมกว่า 20 ชนิด และเตรียมจดทะเบียนเป็นศูนย์ประสานงานเครือข่ายแกนกลางของภาคกลางในการอบรมเรื่องการเกษตรปลอดภัยแบบครบวงจร
ซึ่งมหาวิทยาลัยจะรับซื้อผลผลิตเมลอนจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 50-60 บาท โดยในปี 2565 ได้เริ่มนำร่อง 4 ครัวเรือนในพื้นที่ 4 ตำบลในเขตอำเภอเมืองสุพรรณบุรี และขยายอีก 8 ครัวเรือน โดยลงทุนสร้างโรงเรือนขนาด 72 ตารางเมตร มูลค่า 5.5 หมื่นบาท ให้ก่อนแล้วให้เกษตรกรผ่อนชำระคืนโดยไม่คิดดอกเบี้ย สามารถปลูกเมลอนได้ 180 ต้นต่อโรงเรือน โดยประมาณการรายได้จากการปลูกเมลอนเฉลี่ย 1.8 หมื่นบาทต่อครัวเรือน ภายใน 1 ปีปลูกได้ 3 ครั้ง ส่วนในฤดูฝนจะสลับไปปลูกผักสลัดและมะเขือเทศแทน นับเป็นทางเลือกที่ดีแก่เกษตรกรที่ต้องการเพิ่มรายได้จากการปลูกพืชที่ไม่ต้องใช้ปริมาณน้ำเยอะเกินไป โดยใช้น้ำเพียงวันละ 1.5 ลิตรต่อต้นเท่านั้น
ขณะที่นายธนากร บุญกล่ำ เจ้าหน้าที่สถาบันวิจัยและพัฒนา กล่าวเพิ่มเติมถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเมลอนว่าควบคุมด้วยระบบ IoT และได้รับมาตรฐาน GAP เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเมลอนเกรดพรีเมียม นอกจากนี้ยังมีว่านหางจระเข้ที่เริ่มโครงการมาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว เนื่องจากปลูกได้ในทุกสภาพดิน และนำสารสกัดสำคัญไปเป็นส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งเลมอนพันธุ์ฮาวายที่ปลูกในบ่อซีเมนต์เพื่อควบคุมการตัดแต่งทรงต้น ง่ายต่อการจัดการและเก็บเกี่ยว โดยใช้ระบบน้ำสปริงเกอร์ทำให้ใช้น้ำไม่มากในการเพาะปลูก
ซึ่งเกษตรกรที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่เพจหอมขจรฟาร์ม หรือไลน์ @Homkhajorn หรือโทร.0 22445049
Discussion about this post